ตับ น้ำดี ถุงน้ำดี และ นิ่วในถุงน้ำดี

ร่างกายเป็นสิ่งที่มีความอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากที่อวัยวะต่างๆจะสามารถทำงานได้อย่างประสานสอดคล้องกันเป็นอย่างดี ทุกอย่างยังมีเหตุที่มาที่ไป ที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ได้ การศึกษาถึงความเจ็บป่วยเพียงอย่างเดียวจึงเกี่ยวพันไปถึงการเจ็บป่วยประการอื่นๆ เช่นเดียวกัน การที่เราจะเข้าใจถึงสาเหตุของการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี เราจึงต้องทำความเข้าใจถึงความสำคัญ และ การทำงานของตับ น้ำดี และ ถุงน้ำดี ไปด้วยในขณะเดียวกัน

ความสำคัญของตับ น้ำดี และถุงน้ำดี และการเกิดของนิ่วในถุงน้ำดี

ตับเป็นอวัยวะที่เปรียบเสมือนโรงงานสารเคมีขนาดใหญ่ทำหน้าที่กว่า 500 อย่างในร่างกายของคนเรา นับแต่การสังเคราะห์โปรตีน สร้างภูมิต้านทาน ควบคุมการหลั่งฮอร์โมน กระตุ้นการทำงานขอต่อมไร้ท่อ หรือแม้แต่การกระจายสารอาหารเข้าสู้เซลล์ต่างๆกว่าสามพันล้านเซลล์ในร่างกายของเรา นอกจากนี้ ยังช่วยในการขับสารพิษ เช่นสารปรุงแต่ง ฮอร์โมนส่วนเกิน โลหะหนัก หรือยาและสารเคมีสะสมต่างๆ ออกจากร่างกาย ซึ่งหนึ่งในวิธีการขับสารพิษออกจากร่างกายคือการสร้างน้ำดี เพื่อขับและลำเลียงสารพิษเหล่านี้ออกไป

การสร้างน้ำดีในตับนั้นจึงเป็นการกลั่นของเสียต่างๆที่ตับไม่ต้องการใช้แล้วออกมา ประกอบด้วย คอเลสเตอรอล บิลลิรูบิน กรดเกลือน้ำดี ตลอดจนสารอื่นๆที่ตับต้องการขับออกมาผ่านทางแขนงตับ ซึ่งน้ำดีจะค่อยๆหลั่งมาเพื่อทำการกักเก็บที่ถุงน้ำดี ก่อนจะถูกปล่อยสู่ลำไส้เล็กตอนต้น เพื่อทำหน้าที่ในการช่วยย่อยต่อไป

ด้วยเหตุนี้นอกจากที่น้ำดีเหล่านี้จะเป็นเป็นเส้นทางการลำเลียงสารพิษของเสียแล้ว ยังทำหน้าที่สำคัญในการย่อยอาหาร โดยเฉพาะการย่อยไขมันอีกด้วยทุกครั้งที่เราทานอาหารที่มีไขมันลงไป สมองจะสั่งให้ถุงน้ำดีทำการบีบตัว เพื่อหลั่งน้ำดีออกมาผ่านทางท่อน้ำดี เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร ในระหว่างที่น้ำดีได้รับการพักอยู่ที่ถุงน้ำดีนั้นเอง ถุงน้ำดีจะค่อยๆทำให้น้ำดีมีความเข้มข้นสูงขึ้น กล่าวกันว่าถุงน้ำดี จะทำให้น้ำดีมีความเข้มข้นขึ้นถึง 5 เท่าเพื่อให้น้ำดีที่หลั่งออกมาจากถุงน้ำดีนี้สามารถย่อยไขมันในลำไส้เล็กตอนบนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การดูดซึมอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะเดียวกัน หากน้ำดีที่ถูกหลั่งมาจากตับ มีความไม่สมดุลกันของสารตั้งต้น เช่น คอเลสเตอรอล บิลลิรูบิน กรดเกลือน้ำดี เหล่านี้ ทำให้น้ำดีมีความหนืดสูง จับตัวแน่นและตกตะกอน กลายเป้นก่อนนิ่วคอเลสเตอรอลค้างในถุงน้ำดีหรือที่เราเรียกกันว่านิ่วในถุงน้ำดีนั่นเอง นานวันเข้า เมื่อก้อนนิ่วดังกล่าวจับตัวกันมากขี้น กลายเป็นผลึกก้อนใหญ่ อาจเกิดเป็นก้อนนิ่วค้างอยู่ในถุงและท่อน้ำดีจำนวนมาก ซึ่งจะคอยขัดขวางการไหลของน้ำดีสู่ลำไส้ เป็นผลทำให้น้ำดีหลั่งได้น้อย ไม่เพียงพอกับการย่อยอาหาร ในภาวะเช่นนี้ ผู้ป่วยจึงมักมีอาการปวดท้อง อืด แน่น หลังทานอาหาร ในกรณีรุนแรงเมื่อผู้ป่วยทานอาหารเข้าไป สมองจะสั่งให้น้ำดีทำการบีบตัว แต่เนื่องจากถุงน้ำดีเต็มไปด้วยก้อนนิ่ว การบีบตัวของน้ำดีจึงทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา (Gallbladder Attack) ในบางครั้ง ในผู้ที่มีความรุนแรงมาก อาจปวดร้าวไปถึงด้านหลังเลยทีเดียว  

อาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดีและการผ่าตัดในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบัน

หลายครั้งเราจะพบว่าผู้ที่เป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีไม่ได้มีอาการบ่งชี้มาก่อน จู่ๆวันหนึ่งก็เกิดปวดท้องขี้นอย่างรุนแรง เมื่อไปพบแพทย์แผนปัจจุบันและตรวจแล้ว จึงพบว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และแพทย์มักแนะนำให้ผ่าตัด ดังนั้นแล้ว การมีก้อนนิ่วในถุงน้ำดี บางครั้งจึงอาจกล่าวได้ว่าเป็น Silent Stones ซึ่งก็คือเป็นอาการที่เกิดขี้นอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว คนป่วยมักไม่ได้ใส่ใจไปตรวจ จนกระทั่งอาการรุนแรงขี้นแล้วนั่นเอง จากการวิเคราะห์สังเกตรอยโรคดังกล่าว จึงกล่าวได้ว่าอาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดีไม่ชัดเจน กระทั่งเป็นหนักแล้ว แพทย์แผนปัจจุบันจึงจำแนกผู้ป่วยตามอาการได้แก่  

1. มีนิ่วในถุงน้ำดี แต่ไม่มีอาการ  (Incidental Gallstones) พบเฉลี่ยก็ประมาณ 7.5% ของประชากรทั่วไป ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้อยู่เฉยๆ และไม่แนะนำให้ผ่าตัดทันที เนื่องจากมีความเสี่ยงจากอาการแทรกซ้อนเนื่องมาจากการตัดถุงน้ำดีได้  

2. มีนิ่วในถุงน้ำดี ร่วมกับมีอาการของนิ่ว (Uncomplicated Gallstone Disease ) นั่นคือผู้ป่วยมีอาการปวดท้องใต้ชายโครงขวาอย่างแรง ปวดนานร่วมครึ่งชั่วโมง เป็นระยะๆ โดยเฉพาะหลังจากการทานอาหาร ซึ่งในกรณีเช่นนี้ มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นถุงน้ำดีอักเสบได้ แพทย์แผนปัจจุบันจึงแนะนำให้ทำการผ่าตัดเพื่อเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว    

3. มีนิ่ว ร่วมกับมีอาการไม่เจาะจง  ผู้ป่วยจะมีอาการอื่นๆร่วม แต่ไม่รุนแรง เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย จุก เสียด แน่นท้อง ซึ่งในกรณีนี้พบว่าการผ่าตัดจะทำให้อาการดังกล่าวหายไป 56% แต่นอกจากนี้ คนที่ผ่าตัดจะได้พบว่าตนเองมีอาการท้องอืดควบท้องเสียเรื้อรัง ซึ่งเป็นอาการเนื่องมาจากหลังการผ่าตัด (Post Cholecystectomy Syndrome) ในผู้ป่วยกรณีนี้ แพทย์แผนปัจจุบันบางที่านที่อนุรักษ์นิยม อาจไม่แนะนำให้ผ่าตัด แต่แพทย์หลายท่านก็แนะนำให้ผ่า อย่างไรก็ตามปัญหานี้ยังเป็นข้อถกเถียงในวงการแพทย์มานานกว่า 30 ปี

อาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดีและการผ่าตัดในมุมมองของแพทย์แนวธรรมชาติบำบัด

แพทย์แนวธรรมชาติบำบัด มีแนวทางเกี่ยวกับสุขภาพที่แตกต่างจากมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องด้วยแนวความคิดของการรักษานั้นเน้นการรักษาที่เหตุของโรค โดยที่ไม่ได้เน้นที่รักษาอาการหรือรอยโรค ดังนั้น จึงไม่ได้เน้นการทำให้อาการปวดหายไปแต่เพียงอย่างเดียว แต่ตรวจดูว่าสาเหตุของอาการนั้นมาจากสิ่งใด แล้วจึงกำจัดสิ่งนั้นออกไป ตามที่เราได้ทราบกันแล้วว่าอาการปวดท้องอย่างหนักที่บริเวณชายโครงขวา เกิดขี้นมาจากการมีนิ่วอุดตัน เป็นจำนวนมาก เมื่อเป็นรุนแรงเข้า ผู้ป่วยจึงมีอาการจุก เสียด แน่น เพิ่มขี้นไปโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้ การเน้นการล้างเอาก้อนนิ่วออก โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงผ่าตัดอวัยวะภายใน จึงเป็นแนวทางที่แพทย์แนวธรรมชาติบำบัดให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก การที่จะทำให้ก้อนนิ่วหลุดออกมานั้น แพทย์จำต้องสร้างสภาพแวดล้อมให้ตับมีแรงดันน้ำดีและนิ่วในถุงน้ำดีออกมา รวมไปถึงการทำให้ก้อนนิ่วมีความอ่อนตัว นิ่ม เพือที่ว่าเวลาล้างออกมาจึงจะได้ล้างออกโดยง่าย ไม่เกิดอาการอื่นๆแทรกซ้อน ขั้นตอนเหล่านี้คือการทำการล้างนิ่วในถุงน้ำดี (Gallbladder Flush) ซึ่งเป็นสิงที่แพทย์แนวธรรมชาติบำบัดมักแนะนำให้ผู้ป่วยทำเพื่อช่วยในการล้างพิษออก

 

อ่านคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับนิ่วในถุงน้ำดี และ ตับ ได้ที่นี่

ข้อควรรู้เกี่ยวกับนิ่วในถุงน้ำดี

นิ่วในถุงน้ำดี 

นิ่วในถุงน้ำดี มีลักษณะคล้ายก้อนหินกรวดสีเขียวเล็กๆ ที่เกิดจากการรวมตัวของ คอเลสเตอรอล, เม็ดสีของน้ำดี, แคลเซียม คาร์บอนเนต (พบได้ยาก), หรือ มีส่วนผสมของทั้ง 3 ตัวซึ่งพบประมาณ 80% ของคนทั่วไป

ประเภทของก้อนนิ่ว

  1. ก้อนนิ่วคอเลสเตอรอล (Cholesterol gallstones)

  2. ซึ่งเกิดมาจากการที่มีปริมาณคอเลสเตอรอลมากกว่าเกลือน้ำดี (bile salts) ทำให้ คอเลสเตอรอลตกตะกอนเป็นก้อนนิ่ว

  3. ก้อนนิ่วเม็ดสีน้ำดี (Pigmented stones)

  4. พบมากในแถบตะวันออกกลางเนื่องจากมีโอกาสในการเกิดโรคจากพาหะนำโรค ซึ่งตัวพาหะนี้มีส่วนทำให้การผลิตของบิลิลูบิน (Bilirubin)

  5. ก้อนนิ่วแคลเซียม คาร์บอนเนต(Calcium carbonate stones)

  6. เกิดจากการขับแคลเซียมในปริมาณที่สูง

  7. ก้อนนิ่วที่มีส่วนผสมของทั้ง 3 ชนิด (Mixed gallstones)

  8. ซึ่งส่วนมากจะมี คอเลสเตอรอลประมาณร้อยละ 20 - 80 ของส่วนผสมทั้งหมด

ในประเทศไทยนั้น ก้อนนิ่วที่พบมากคือ ก้อนนิ่วที่มีส่วนผสมของทั้ง 3 ชนิด โดยมีคอเลสเตอรอลในอัตราที่สูง
ก้อนนิ่วในถุงน้ำดีนั้นเกิดมาจากการที่ ตับสร้างน้ำดีประมาณ 500 - 1,000 ซีซี/วัน ซึ่งประกอบด้วย
  1. เกลือน้ำดี (Bile Salts)
  2. น้ำดี
  3. ไขมัน
ซึ่งตับจะส่งน้ำดีนี้ไปที่ถุงน้ำดีเพื่อเก็บน้ำดีไว้ เมื่อร่างกายเราต้องการย่อยไขมัน น้ำดีก็จะถูกส่งไปตามท่อ เข้าสู่ลำไส้เพื่อย่อยสลายไขมัน ซึ่งเกลือน้ำดีนั้นมีหน้าที่ทำให้คอเลสเตอรอล จากตับละลาย  แต่เมื่อปริมาณเกลือน้ำดีและคอเลสเตอรอลนั้นไม่สมดุลกัน ในกรณีที่มีคอเลสเตอรอล มากกว่าเกลือน้ำดี จะทำให้มีการจับตัวของคอเลสเตอรอลแน่นเป็นก้อนนิ่ว เมื่อนานวันตะกอนและไขมันต่างๆ จับตัวเป็นก้อนนิ่วคั่งต้างในถุงและท่อน้ำดี
กลุ่มของบุคคลที่มีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี (5 F’s risk factors) นิ่วในถุงน้ำดีนิ่วในถุงน้ำดี
  1. บุคคลที่มีผิวขาว(Fair): เนื่องจากเมลาโทนินช่วยยับยั้งการตกตะกอนของ คอเลสเตอรอล
  2. ไขมัน(Fat): บุคคลที่มีคอเลสเตอรอลสูง และมีโรคอ้วน
  3. ผู้หญิง (Female): ฮอร์โมนเอสโตเจนมีส่วนในการก่อตัวของก้อนนิ่ว
  4. ผู้หญิงที่มีบุตรจำนวนมาก (Fertile): ช่วงก่อนหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตเจนจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีผลให้คอเลสเตอรอล เพิ่มสูงขึ้นด้วย
  5. อายุใกล้ 40 หรือมากกว่า (Forty): ผู้ป่วยด้วยโรคนิ่วจะพบในบุคคลที่มีอายุใกล้ 40 หรือมากกว่า
แต่อย่างไรก้ตาม สาเหตุของการเกิดโรคนิ่วส่วนมากนั้น มีปัจจัยอื่นๆมาพัวพันด้วย เช่น การสูบบุหรี่, มีโรคเบาหวาน, ตั้งครรภ์, มีโรคทางเดินอาหารต่างๆ และ เคยมีประวัติการผ่าตัดมาก่อน
อันตรายของก้อนนิ่ว:

    นิ่วในถุงน้ำดี การล้างท่อตับและน้ำดีมีประโยชน์อย่างไร

  • อันตรายที่สำคัญของก้อนนิ่ว คือการอุดตันของท่อและถุงน้ำดีแบบทันใดหรือเรื้อรัง ถ้ามีการติดเชื้อร่วมด้วยจะรุนแรง อาจต้องผ่าตัดด่วน
  • อาจทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบ
  • อาจทำให้เกิดมะเร็งได้
  • ไม่ต้องผ่าตัดเมื่อมีก้อนนิ่วอยู่
  • อาการปวดท้อง และอาการร่วมต่างๆก็จะหายไป
  • สุขภาพร่งกายดีขึ้น ไม่มีแผลที่เหงือกละช่องปาก มีพลัง ไขมันในเลือดไม่สูง นอนหลับสบาย
คนที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี หากมีการเคลื่อนตัวของก้อนนิ่วไปอุดตันของทางเดินน้ำดี จะมีอาการ
  • ปวดท้องตรงบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่ ลักษณะปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ (แบบท้องเดิน)
  • อาจมีอาการปวดร้าวไปที่ไหล่ขวาหรือบริเวณหลังตรงใต้สะบักขวา มักปวดนานเป็นชั่วโมง
  • อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
  • อาการปวดท้องมักเกิดขึ้นหลังกินอาหารมันๆ หรือหลังกินอาหารมื้อหนัก
  • อาการปวดท้องอาจทุเลาไปได้เอง แต่ก็อาจกำเริบเป็นครั้งคาว โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร
  • เวลาปวดท้อง ใช้มือกดดูบริเวณที่ปวดจะไม่เจ็บ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับนิ่วในถุงน้ำดี

โดยปกติแล้วถุงน้ำดีจะมีการบีบตัว เพื่อหลั่งน้ำดีที่เข้มข้นออกมาช่วยในการย่อยไขมันและกระตุ้นให้เอนไซม์ที่หลั่งมาจากตับอ่อนทำงานได้ดี แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการ  จุก เสียด บริเวณลิ้นปี่ หรือในบางครั้งอาจมีการปวดร้าวไปถึงหลัง เรียกว่า Gallbladder Attack เกิดขี้นเนื่องจากในถุงน้ำดีมีนิ่วในถุงน้ำดีมีปริมาณมาก และจับตัวแข็ง แน่น ทำให้เมื่อถุงน้ำดีไทำการบีบตัวตามปกติไม่สามารถบีบตัวได้ ส่งผลให้เกิดอาการจุก เสียด แน่น ท้องหลังทานอาหาารตามมา หลังจากที่ผู้ป่วยทำการล้างพิษตับและนิ่วในถุงน้ำดี ส่งผลให้นิ่วที่ค้างอยู่ในถุงน้ำดีมีปริมาณน้อยลง และขนาดเล็กลง ส่งผลให้อาการจุก เสียด บริเวณลิ้นปี่ ลดลงไปโดยปริยาย
โดยปกติตับมีหน้าที่ในการสร้างน้ำดีเพื่อมาช่วยในการย่อยไขมัน และอาหารต่างๆ นอกจากนี้การที่น้ำดีหลั่งจะช่วยให้เอนไซม์ที่หลั่งออกมาจากตับอ่อนทำงานได้ดีขี้น ทำให้การย่อย และดูดซึมอาหารเป็นไปอย่างสมบูรณ์ แต่ในกรณีของผู้ที่มีสารพิษตกค้างหรือตรวจพบนิ่วในถุง้นำดี ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการที่น้ำดีมีความหนืดสูงเนื่องจากประกอบไปด้วยกรดไขมัน และเกลือน้ำดีที่ไม่สมดุล ทำให้น้ำดีมีการตกตะกอนเป็นก้อนทิ้งค้างไว้ในท่อแขนงตับ ถุุงน้ำดี และท่อน้ำดี เมื่อการตกตะกอนดังกล่าวมีปริมาณที่มากขี้นก็จะไปอุดตันทำให้น้ำดีไม่สามารถหลั่งได้อย่างปกติ อาหารจึงไม่ได้รับการย่อยที่ลำไส้เล็กตอนบน อาหารที่เกิดการหมักหมม ไม่ได้ย่อย จะสร้างแก๊ซขึ้นมาในกระเพาะ กลายเป็นลม ก่อให้เกิดอาการท้ัองอืดเฟ้อ ในกรณีของผู้ที่มีอาการรุนแรง การเกิดเป็นลมดังกล่าวสามารถตีขี้นไปด้านบนเข้าสู่ช่องอาหาร พร้อมกับด้นเอาน้ำย่อยขี้นไปด้วย เมื่อประกอบกันการที่กระเพาะทำงานไม่สมบูรณ์อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการของโรคกรดไหลย้อน
เครื่องอุลตร้าซาวด์เป็นเครื่องที่ใช้หลักการของคลื่นเสียงความถี่สูงในการตรวจ โดยอาศัยการสะท้อนเสียงของคลื่นเสียงเป็นตัวบ่งบอกถึงวัตถุแปลกปลอม ด้วยเหตุนี้เองในกรณีที่วัตถุมีความแหนาแน่นของมวลวัตถุสูง ก็จะมีเสียงสะท้อนมาก ทำให้ความแม่นยำในการตรวจมีมาก แต่ในกรณีของวัตถุที่มีความหนาแน่นของมวลวัตถุต่ำ คลื่นเสียงจึงสะท้อนได้ต่ำ ความแม่นยำในการตรวจจึงไม่สูงเท่ากับในกรณีแรก จากหลักความเข้าใจที่ได้กล่าวมาแล้ว 90% ของก้อนนิ่วที่พบในถุงน้ำดีของเราเป็นก้อนนิ่วคอเลสเตอรอลซึ่งจะมีลักษณะนิ่ม ด้วยเหตุนี้โดยทั่วไปความหนาแน่นของมวลวัตถุของก้อนนิ่วจึงต่ำ เราจึงอาจไม่พบก้อนนิ่วดังกลา่าวโดยการใช้เครื่องอุลตร้าซาวด์ในการตรวจ
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าความรู้ทั้งหลายของวิทยาศาสตร์ประยุกต์เป็นความรู้ที่เกิดขี้นเนื้องมาจากการคิดค้นบนระบบตรรกะที่เคยเกิดขี้นมาก่อนแล้ว ทั้งนี้รวมถึงความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ซึ่งก็ก็มีการแพทย์หลากหลายให้เราสามารถเลือกใช้ ในบริบทของวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบันเองก็มีแนวคิดที่แตกต่างจากการแพทย์แผนธรรมชาติบำบัด กล่าวคือการแพทย์แผนปัจจุบันเน้นการรักษาอาการ จึงเอื้อให้กับการรักษาโรคเฉียบพลัน เช่น ขา แขนหัก รวมถึงการรักษาอาการต่างๆ เช่น น้ำมูก เป็นไข้ เป็นต้น ในขณะเดียวกันการแพทย์แผนนธรรมชาติบำบัดเน้นการรักษาที่ต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหา จึงเหมาะกับการรักษาโรคเรื้อรังและใช้ศาสตร์การแพทย์ฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะต่างๆเข้ามาช่วยเหลือ เช่น เป็นโรคภูมิแพ้เรื้อรังทำให้เกิดน้ำมูกบ่อยครั้ง แพทย์แผนธรรมชาติบำบัดมักจะตรวจดูสารพิษที่คั่งค้าง เนื่องจากมีความเชื่อว่าเกิดจากสารพิษไปสร้างความระคายเคืองให้ระบบท่อในร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายสร้างมูกออกมาตามระบบท่อเพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองนั้น ด้วยแนวตรรกะที่แตกต่างนี้เอง ทำให้แพทย์ทั้งสองทางมีความเห็นในการรักษาโรคชนิดเดียวกันที่แตกต่าง ในกรณีของการมีนิ่วในถุงน้ำดี แพทย์แผนปัจจุบันที่แนะนำให้มีการผ่าตัดแม้คนไข้จะยังไม่มีอาการถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการต้องการตัดความเสี่ยงในกรณีที่อาการเป็นมากไปกว่านี้ และมองว่าอาการดังกล่าวเป็นอาการเฉียบพลัน ขณะเดียวกันในกรณีของแพทย์แผนธรรมชาติบำบัด มองว่าการมีนิ่วในถุงน้ำดีไม่ถือเป็นออาการเฉียบพลัน จึงจะเน้นรักษาโดยการกระตุ้นให้ร่างกายขับก้อนนิ่วในถุงน้ำดีออกมาเอง โดยการสร้างสภาวะที่เหมาะสมให้ร่างกายสามารถขับสารพิษที่เกิน เพราะตระหนักว่าก้อนนิ่วในถุงน้ำดีเป็นสาเหตุหลักของอาการเจ็บป่วยต่างๆ กระนั้นก็ตามแพทย์แผนธรรมชาติบำบัดก็มีจุดอ่อน เนื่องจากต้องใช้เวลารักษา ไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและต้องการการรักษาแบบเฉียบพลันในทันทีทันใด ด้วยหลักเหตุ ปัจจัย ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดีที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลแพทย์แผนปัจจุบัน มักไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แขนงอื่น และไม่มีทางเลือกอื่นมากนักนอกจากการเข้ารับการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกเพื่อรักษาอาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี
แทนที่เราจะพิจารณาจากองค์ประกอบด้านเคมี และความเป็นไปได้ของการเกิดสบู่จากสารที่ทานเข้าไป เราอยากให้ท่านพิจารณาจากข้อมูลจากประสบการณ์จริงของผู้ที่ทำการล้างพิษตับและนิ่วในถุงน้ำดีกับเราที่เราได้ทำการสอบถาม ติดตามอาการหลังการล้างพิษ และรวบรวมไว้จากการจัดคอร์สล้างพิษหลายครั้งที่ผ่านมา จากการศึกษารวบรวม เราพบว่ากว่า 70% ของผู้ที่ทำการล้างพิษกับเรา เป็นผู้ที่ได้รับการตรวจอุลตร้าซาวด์แล้วพบว่ามีก้อนนิ่วในถุงน้ำดี หลังจากที่ทำการล้างพิษแล้ว หลายท่านได้เข้าตรวจอุลตร้าซาวด์พบว่าก้อนนิ่วมีขนาดเล็กลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ขณะเดียวกันก้อนนิ่วก็มีจำนวนลดลงอีกด้วย ทั้งนี้นอกจากจะขึ้นอยู่กับอาการความรุนแรงของอาการต่างๆก่อนหน้า ก็ยังขึ้นอยู่กับความถี่ในการล้างพิษของท่านเหล่านี้อีกด้วย นั้นคือ หากทำการล้างพิษถี่ และบ่อยมากเท่าใด ขนาดและปริมาณของก้อนนิ่วที่ยังคงค้างอยู่ในถุงน้ำดีก็จะลดลงมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้เมื่อพิจารณาตามอาการของผู้ป่วย พบว่าอาการต่างๆที่เกิดขี้นเนื่องมาจากการมีนิ่วในถุงน้ำดีเช่น ท้องอืด เฟ้อ เรอลม มีแก็ส อาการจุกเสียด หลังทานอาหาร ก็ลดลงอย่างชัดเจนไปพร้อมๆกันอีกด้วย ทั้งนี้เมื่อเรานำผลอุลตร้าซาวด์ ตลอดจนเปรียบเทียบดูอาการที่ดีขี้นอย่างมีนัยยะสำคัญของผู้ป่วยแล้ว เราจึงสามารถปักใจเชื่อได้ว่าก้อนสีเขียวที่หลุดออกมาจากการถ่าย เป็นก้อนนิ่วในถุงน้ำดีจริงๆ
90% ของนิ่วในถุงน้ำดีเป็นนิ่วคอเลสเตอรอล ซึ่งมีลักษณะนิ่ม ไม่แข็ง หากตกในน้ำจะลอย ไม่จม ด้วยเหตุนี้เมื่อลองนำนิ่วดังกล่าวมาบี้ดูจะมีนิ่ม คล้ายดินน้ำมัน หรือเม็ดแป้ง ในกรณีของผู้ที่มีสารพิษสะสมมาก นิ่วในถุงน้ำดีดังกล่าวจะมีกลิ่นเหม็นคาว ในขณะเดียวกันก้อนนิ่วบางส่วนก็เป็นก้อนนิ่วแคลเซียม ซึ่งมีลักษณะแข็ง และมีสีขาว คล้ายก้อนหิน เนื่องมาจากมีแคลเซียมที่ร่างกายต้องการขับออกมาทางท่อน้ำดีเกาะก้อนนิ่วอยู่ จึงมีลักษณะแข็ง และจมน้ำ