คำถามเกี่ยวกับการใช้ชุดล้างพิษตับและนิ่วในถุงน้ำดี

โดยทั่วไปแล้วในคนไข้ที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี แพทย์จะแนะนำให้เลี่ยงการทานน้ำมันหรืออาหารที่มีไขมัน เนื่องจากอาหารดังกล่าวจะกระตุ้นให้ถุงน้ำดีบีบตัว หากมีนิ่วในถุงน้ำดีอยู่ก่อนแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการจุก เสียด ปวดท้องขี้นมาทันที ในความเป้นจริงอาการที่เกิดขี้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากไขมันเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดขี้นมาจากอาหารอื่นๆที่เราทานเข้าไปในช่วงเวลาเดียวกันกับการทานอาหารที่มีไขมัน หรือน้ำมันด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับอาหารที่มีการคลุกเคล้ากับไขมันหรือน้ำมันแล้ว ร่างกายซึ่งไม่สามารถทำการย่อยไขมันได้จะทำให้อาหารนั้นเคลื่อนตัวได้ช้าเกิดเป็นอาการอาหารไม่ย่อย เมื่อประกอบกับการที่ผู้ป่วยมีนิ่วในถุงน้ำดีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผู้ป่วยจึงมีปัญหาจุก เสียดตามมา ผลก็คืออาการจุกเสียด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย  ในระหว่างการล้างพิษการทานน้ำมันมะกอกกลับให้ผลตรงข้ามโดยที่น้ำมันมะกอกจะทำหน้าที่เป็นสารล่อทำให้ถุงน้ำดีทำการบีบตัวและขับนิ่วออกมาจากทุกน้ำดี โดยไม่ทำให้เกิดอาการจุกเสียด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ป่วยจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนทำการล้างพิษ โดยมีการทานเอนไซม์สมุนไพรที่ทำให้ก้อนนิ่วอ่อนตัวก่อน นอกจากนี้ก่อนทานน้ำมันมะกอกผู้ป่วยต้องอดอาหารนานถึงหกชั่วโมง จึงทำให้ไม่มีอาหารไปคลุกเคล้ากับไขมันและ ไม่เกิดการกระบวนการย่อยไขมัน ไขมันจะไหลผ่าไปยังลำไส้เล็กโดยไม่มีการย่ยอ เมื่อไม่มีอาหารผู้ป่วยจีงไม่มีอาการอาหารไม่ย่อยตามมา การเตรียมตัวดังกล่าวจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทานน้ำมันมะกอกระหว่างการล้างพิษไม่ได้ก่อนให้เกิดอาการเช่นเดียวกับการทานน้ำมันหรือไขมันในมื้ออาหารโดยทั่วไป
จากประสบการณ์การจัดค่ายล้างพิษมาและมีผู้ที่เข้ารับการล้างพิษกับเรากว่า 1000 คน เราพบว่ามีผู้ป่วยเพียงน้อย (น้อยกว่า 0.2%) รายที่มีอาการแทรกซ้อนระหว่างการทำการล้างพิษ ซึ่งอาการแทรกซ้อนดังกล่าวไม่ได้ถือว่าเป็นอาการที่รุนแรง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรามีการเฝ้าระวัง ตรวจประเมินสุขภาพเบื้องต้นของผู้ที่จะทำการล้างพิษมาก่อนหน้าที่จะให้ผู้ป่วยทำการล้างพิษ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบเห็นได้ระหว่างการทำการล้างพิษคือ
  1. มีอาการอ่อนเพลีย สืบเนื่องมาจากการถ่าย และไม่ได้ทานสารอาหารไปเพียงพอในวันที่จะเริ่มการถ่าย
  2. มีอาการอาเจียรในวันที่จะมีการขับนิ่ว หลายครั้งเกิดมาจากการที่อาหารไม่ย่อย
สำหรับผู้ที่ตรวจพบว่ามีนิ่วในถุงน้ำดี หลังจากทำการล้างพิษตับและนิ่วในถุงน้ำดีครั้งแรกไปแล้วโดยมากจะรู้สึกว่าอาการต่างๆที่เคยเป็นมาก่อนหน้านั้นมีอาการทุเลาลง สุขภาพดีขี้น เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ หายไป ผิวพรรณผ่องใสขี้นอย่างเห็นได้ชัด น้ำหนักลด ค่าตับดีขี้น เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นการยากที่จะยืนยันรับรองว่าก้อนนิ่วในถุงน้ำดีจะหายไปเลยในทันที เนื่องมาจากการมีนิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายๆอย่าง เช่น ปริมาณและขนาดของก้อนนิ่วที่มีมาอยู่แต่เดิม การเตรียมตัวก่อนที่จะทำการล้างพิษ การปฏิบัติตัวหลังจากนั้น ซึ่งสามารถเข้าใจได้ว่านิ่วเป็นสิ่งที่สั่งสมกันมาเป็นเวลานาน การจะทำให้นิ่วหมดหรือหายไปภายในไม่กี่วัน จึงเป็นการกล้าวที่เกินจริง กระนั้นก็ตามเราพบว่าผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีมาอยู่แต่เดิม หลังจากทำการล้างพิษครั้งที่หนึ่งแล้ว นิ่วมักมีขนาดเล็กลง และปริมาณน้อยลง เป็นต้น
ในกรณีของผู้ที่ไม่ได้เป็นนิ่วในถุงน้ำดี หรือมีคอเลสเตอรอลสูง และตับทำงานได้ดี คนทุกคนควรทำการล้างพิษทุกๆ 6 เดือน หรือ 12 เดือน เพื่อเป็นการลดการสะสมของสารพิษที่อยู่ในร่างกายลงไป แต่ในกรณีของผู้ที่ตรวจพบนิ่วในถุงน้ำดี ตลอดจนมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของตับ และมีอาการของสารพิษตกค้างในร่างกาย ควรทำการล้างพิษเดือนละ 1 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน จึงจะเห็นผลความแตกต่างของสุขภาพก่อนและหลังได้อย่างชัดเจน
ผลิตภัณฑ์สำหรับการล้างพิษตับและถุงน้ำดีเหมาะสำหรับ
  • ผู้ที่มีนิ่วถุงน้ำดี (Gallstones)
  • ตับอักเสบเรื้องรัง ไขมันพอกตับ ตับแข็ง ต่าตับสูง
  • ผู้ที่มีโคเลสเตอรอลและไตกรีเซอร์ไรด์สูง
  • ผู้ที่มีอาการของโรคภูมิแพ้เรื้อรับง เป็นหวัด คัดแน่นจมูก โพรงจมูกอักเสบ
  • ผู้ที่มีอาการผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เป็นสิว ผื่นแพ้ สารเคมี
  • ผู้ที่มีอาการของโรคกรดไหลย้อน อาหารไม่ย่อย ท้องอืดเฟ้อ จุกเสียดหลังมื้ออาหาร ลำไส้แปรปรวน ท้องผูกเรื้อรัง
ไม่แนะนำให้บุคคลประเภทต่อไปนี้ทำการล้างพิษตับและนิ่วในถุงน้ำดี
  • สตรีที่กำลังมีครรภ์และให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีอุดตันอย่างเฉียบพลัน
  • ผู้ที่มีอาการตัวเหลือตาเหลือง และมีค่าความอักเสบของตับสูง
  • ผู้ป่วยเรื้อรังระยะร้ายแรง
  • ผู้ที่ยังใส่ท่อขยายน้ำดีอยู่
  • ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง และมีอาการของโรคไต ไม่สามารถเสี่ยงกับการเสียสมดุลของปริมาณน้ำในร่างกายได้